กรรมดี
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๙
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ถาม : เรื่อง “อำนาจ วาสนา บารมี”
กราบนมัสการหลวงพ่อที่เคารพ
๑. อำนาจ วาสนา บารมี คืออะไร เหมือนหรือต่างกันอย่างไรครับ
๒. อำนาจ วาสนา บารมี มาจากการทำทาน ศีล ภาวนา ใช่ไหมครับ
ตอบ : นี่คำถามเนาะ คืออยากให้พูดเรื่องนี้ไง
“๑. อำนาจ วาสนา บารมีคืออะไร เหมือนหรือต่างกันอย่างไร”
มันก็คนละคำอยู่แล้ว
อำนาจก็คืออำนาจ อำนาจคืออำนาจ อำนาจ คนที่มีอำนาจ อำนาจบาตรใหญ่ ถ้าคนที่มีอำนาจ ถ้าอำนาจเป็นธรรมก็เป็นประโยชน์ ถ้าอำนาจเป็นโลกอำนาจเป็นกิเลส อำนาจก็เหยียบย่ำเขา
วาสนา วาสนาคนเกิดมามีอำนาจวาสนา คำว่า “วาสนา” นะ ทำสิ่งใดประสบความสำเร็จทั้งนั้นน่ะ
ถ้ามีบารมี บารมี คนที่มีบารมีมันมีคนนับหน้าถือตา มีคนเชื่อถือศรัทธา ว่าอย่างนั้นเถอะ แต่ถ้าคนไม่มีบารมี เขามีอำนาจ มีวาสนา แต่เขาไม่มีบารมี เขาก็มีอำนาจวาสนาของเขา อำนาจวาสนาของเขาคือเขาทำสิ่งใดประสบความสำเร็จของเขา ถ้าเขามีอำนาจ อำนาจของใครล่ะ นี่พูดถึงอำนาจ
ถ้ามีอำนาจนะ คำว่า “อำนาจ” ดูฝูงสัตว์สิ เวลาฝูงสัตว์ ดูฝูงลิง เวลาฝูงลิงใครเป็นผู้มีอำนาจ มีอำนาจก็เป็นหัวหน้า ถ้ามีหัวหน้า มันปกครองฝูงทั้งหมด ตัวเมียทั้งหมดเป็นสมบัติของหัวหน้า ทุกอย่างเป็นของหัวหน้าหมดเลย แต่ความเป็นหัวหน้ามันก็ต้องปกครองเขา เวลาปกครองเขา คนที่จะขึ้นมาทดแทน เห็นไหม มีอำนาจ คนอื่นจะล้มตลอดไป ฝูงสิงโตอย่างนี้ เวลาสิงโตมันดูแลฝูงของมัน ถ้ามีสิงโตหนุ่มที่มีกำลังมากกว่ามาล้มมันได้ นี่อำนาจ เวลาอำนาจ เราดูอำนาจของสัตว์มันแย่งชิงกันสิ เวลาสัตว์มันแย่งชิงอำนาจเพื่อปกครอง ถ้าปกครองมันก็ได้ชั่วคราวเท่านั้นน่ะ
นี่ก็เหมือนกัน อำนาจ คำว่า “อำนาจ” ใครๆ ก็อยากได้ แต่อำนาจโดยธรรมสิ อำนาจโดยธรรม ไม่ต้องทำสิ่งใดเลย ดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาหลวงตาท่านตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ท่านกราบแล้วกราบเล่า ท่านกราบถึงพระคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อำนาจโดยธรรมๆ เวลาใครระลึกถึงมันเป็นประโยชน์ทั้งนั้นน่ะ คำว่า “อำนาจๆ” อำนาจมาจากไหนล่ะ อำนาจมาจากไหน
อำนาจ วาสนา มันต่างกันหรือไม่
ต่างกันหมด อำนาจก็เป็นอำนาจ วาสนา คนมีอำนาจ แต่วาสนาของเขา เขาได้พอเหมาะพอสมหรือไม่ คือว่ามันเป็นกาลเป็นเวลาไง มีอำนาจแต่ไม่มีบริษัทบริวาร ไม่มีที่ให้แสดงออก มันก็ไม่มีประโยชน์ เห็นไหม ถ้ามีวาสนา มันมาพอดีพอเหมาะพอสมไปหมดเลย มีอำนาจด้วย มีวาสนา มีการปกครองดูแล นี่ถ้ามีบารมีไปใหญ่เลย
อำนาจ วาสนา บารมี คืออะไร มันแตกต่างกันอย่างไร
มันแตกต่างกันหมด แต่บางคนมีแต่อำนาจ แต่เขาอำนาจโดยทุจริต ดูสิ ผู้มีอิทธิพลเขามีอำนาจของเขา แต่อำนาจซ่อนๆ เร้นๆ ของเขา เขาแสดงออกโดยธรรมชาติไม่ได้ เขาอำนาจเร้นลับ นี่มีอำนาจ อำนาจโดยธรรมและอำนาจไม่โดยธรรม วาสนาก็คือวาสนา บารมีก็คือบารมี มันคืออะไรล่ะ มันเหมือนหรือมันต่างกันอย่างไร นี่มันเหมือนหรือมันต่างกันอย่างไรแล้วมองตรงไหนล่ะ
คนมองไม่เห็น คนมีอำนาจมีอำนาจมาก แต่คนไม่รู้จัก คนไม่รู้จักเขา มันใช้ประโยชน์อย่างไร แล้วมันต่างกันอย่างไร แล้วมีใครมองเห็นล่ะ ถ้าคนที่เขารับรู้ได้ เขารับรู้ได้ของเขาด้วยประโยชน์ของเขา ฉะนั้น มันแตกต่างกันหมด
แต่คนเรา อย่างองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีครบ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ตั้ง ตั้งเอตทัคคะ ๘๐ องค์ ท่านรู้หมด ๘๐ องค์ที่ว่า พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ พระอุบาลี พระอนุรุทธะ ผู้ที่มีคุณธรรมๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีมากกว่า แล้วรู้ได้รอบหมดเลย นี่พูดถึงว่า ผู้ที่มีอำนาจวาสนาสมบูรณ์ มีอำนาจวาสนา มีบารมีสมบูรณ์
แต่พวกเรามีอย่างใดอย่างหนึ่งก็พอแล้ว ถ้ามีอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้ามีอย่างใดก็แล้วแต่ ให้จิตใจเป็นธรรมๆ อย่าไปกว้านเอาอยากมีอำนาจ อยากจะให้คนนับหน้าถือตา อยากมีวาสนาให้ประสบความสำเร็จ อยากมีบารมีให้คนนับหน้าถือตา...มันบ้า เพราะอะไร เพราะมันเป็นสิ่งที่ทำมา
ไอ้นี่บอกว่า มันเหมือนมันแตกต่างกันอย่างไร
เราบอกว่า ที่มันเหมือนมันแตกต่างกันก็แบบว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านมีสมบูรณ์ของท่าน ท่านมีครบของท่าน ครูบาอาจารย์ท่านก็มี แต่จริตนิสัยของท่าน ท่านสร้างมามากน้อยแค่ไหน แล้วถ้าพูดถึงอำนาจวาสนาบารมีของมนุษย์ ของคนทั่วไป นี่พูดถึงเรื่องโลกๆ นะ ถ้าเรื่องโลกๆ มันมีกุศล อกุศล มันมีฝ่ายธรรม ฝ่ายอธรรม มันมีฝ่ายโลก
ฉะนั้น เรื่องของโลกมันเป็นเรื่องของโลก แต่ถ้าเรื่องของธรรมมันเหนือโลกถ้ามันเหนือโลก ครูบาอาจารย์ท่านทำ ท่านทำมาอย่างนั้น ผู้ที่มีความสมบูรณ์ของท่าน
“๒. อำนาจ วาสนา บารมี มาจากการทำทาน ถือศีลภาวนา ใช่หรือไม่”
ไอ้การทำทาน ดูสิ เวลาเดี๋ยวนี้ในพระพุทธศาสนามันก็เป็นประเพณีวัฒนธรรม ใครอยากได้อะไร ใครทำสิ่งใดก็ทำตามนั้น ก็ไปตามวัดตามวา ฉะนั้นเวลาไปตามวัดตามวา ผู้ที่เขาเชื่อถือศรัทธากันอย่างใด ในชุมชนใด ในประเพณีวัฒนธรรมในท้องถิ่น ในท้องถิ่นมันมาจากผู้นำ ผู้นำเขามีความเชื่อ มีความเคารพบูชาสิ่งใด ท่านก็ถือเคารพบูชาตามๆ กันมา ฉะนั้น ประเพณีวัฒนธรรมท้องถิ่นมันเลยแตกต่างกัน ถ้าประเพณีวัฒนธรรมแตกต่างกัน
สิ่งที่การทำทาน จำศีล ที่ว่าอำนาจวาสนามันมาจากไหน ถ้าอำนาจวาสนามันมา มันก็มาแบบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์สร้างอำนาจวาสนาบารมีมา ถ้าการสร้างอำนาจวาสนาบารมีมาอย่างนั้น นี่ท่านสร้างของท่านมา
แล้วเวลาอำนาจวาสนาบารมีในทางธรรม เห็นไหม อำนาจวาสนาบารมีคือมีอำนาจเหนือกิเลสในใจของตน ถ้ามีอำนาจเหนือกิเลสในใจของตนแล้ว ถ้าชนะใจตนแล้ว ชนะสัตว์โลกทั้งหมดเลย
เพราะว่าใจของตนเวลากิเลสมันขับดัน อยากดังอยากใหญ่ อยากไปทั้งนั้นน่ะ ไอ้ความอยากคือกิเลสตัณหาความทะยานอยาก แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเราที่ท่านประพฤติปฏิบัติอยากสิ้นกิเลสๆ การอยากสิ้นกิเลส ท่านดัดแปลงตนแล้วดัดแปลงตน
หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเราท่านอยู่ในป่าในเขาของท่านท่านประพฤติปฏิบัติของท่าน หลวงปู่มั่นท่านไปสำเร็จที่เชียงใหม่ หลวงปู่ขาวท่านไปสำเร็จที่โหล่งขอด ครูบาอาจารย์ท่านสำเร็จที่ไหน ท่านระลึกถึง เห็นไหม
เวลาหลวงปู่เจี๊ยะๆ เวลาท่านไปแทนคุณทางจังหวัดตาก ท่านไปแทนคุณชาวบ้าน ชาวบ้านเขาบอกว่าท่านเคยไปสงบระงับ ท่านเคยไปภาวนาที่นั่น คนชาวป่าชาวเขาชาวดอยได้เป็นคนที่อุปัฏฐากดูแลอาจารย์ของเรา หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านอยู่กับใคร นี่ไง แต่ด้วยอำนาจวาสนาของท่าน เวลาท่านไปวิเวกของท่านพวกนั้นอุปัฏฐากอุปถัมภ์ เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านไปแทนคุณ แทนคุณเขาไปแทนคุณเขาเพราะอะไร เพราะเขาได้ดูแลอุปัฏฐากอุปถัมภ์ครูบาอาจารย์เรามา
เวลาพระโพธิสัตว์ท่านสร้างอำนาจวาสนาของท่าน ท่านได้บำเพ็ญตบะธรรมของท่าน ท่านได้ปฏิบัติของท่านมา ทีนี้ปฏิบัติของท่านมาใช่ไหม ฉะนั้น สิ่งที่ทำมาๆ เวลาทำมาแล้ว เวลาประพฤติปฏิบัติ เวลาปฏิบัติ อำนาจวาสนาที่สำคัญที่สุดคือมรรค เวลาครูบาอาจารย์ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาอยากจะพ้นทุกข์ อันนี้เป็นกิเลสหรือ มันเป็นอำนาจทางโลกหรือเปล่า เพราะว่ามันต้องมีไง มันต้องมีมรรค
เวลาหลวงตาท่านพูดถึงว่า เวลาทางโลก เวลาเขาพูดถึงความอยากๆ เป็นกิเลสทั้งนั้น แล้วความอยากเป็นกิเลส อย่างครูบาอาจารย์เราท่านอยากจะพ้นทุกข์ๆ ท่านขวนขวายของท่าน มันก็เป็นความอยากอันหนึ่ง แต่เป็นการอยากทำคุณงามความดี อยากหักแข้งหักขากิเลสของตนน่ะ ความดีของตน แล้วเวลาทำอยู่ในป่าในเขา เห็นไหม
เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติท่านนั่งสมาธิภาวนาของท่าน ท่านทำเฉพาะเป็นส่วนตัวเป็นเรื่องในใจของท่าน ท่านทำความดีอย่างนั้น ท่านไม่ได้ทำแบบทางโลกทางโลกเป็นการตลาด เป็นการโฆษณาชวนเชื่อ ใครมาๆ ก็ว่าเพิ่งออกจากป่ามาเดี๋ยวนี้เลย อู้ฮู! เป็นนักปฏิบัติเลย เป็นพระธุดงค์อย่างนี้...มันต้องไปอวดใคร มันต้องไปบอกใคร จริงหรือเปล่า
เวลาจริงหรือเปล่า เพราะอะไร เพราะครูบาอาจารย์ของเรานะ เวลาหลวงตาท่านอยู่ในป่าในเขา ท่านอดอาหารของท่าน ท่านผ่อนอาหารของท่าน ท่านบอกว่าเวลาจะเดินไปบิณฑบาตมันไปถึงครึ่งทางต้องนั่งพัก มันไปไม่ไหว เพราะมันหมดกำลังของมัน แต่เวลาบิณฑบาตไปแล้ว พอฉันเข้าไปมื้อเดียวเท่านั้นน่ะ มันเหมือนกับม้าแข่งเลย มันฟื้นฟูขึ้นมาได้ นี่ก็เหมือนกัน อยู่ในป่าในเขามันทุกข์ยากมาขนาดไหน ออกมา คนที่อุปัฏฐากอุปถัมภ์มันจะเอาแค่ไหนล่ะ คนเรา มนุษย์เราก็ปัจจัย ๔ เท่านั้นน่ะ มันจะมีอะไรเกินเลยไปกว่านั้น
ครูบาอาจารย์เราท่านประพฤติปฏิบัติมาในป่าในเขานะ เวลากิเลสมันขับมันดันขึ้นมา มันมีสิ่งใด ท่านจับไว้เลย เวลาเข้ามาวัดมาวา สิ่งใดที่ขาดตกบกพร่องถ้าเป็นบริขารชำรุดก็ซ่อมแซม ถ้าสิ่งใดมันจะแก้ไขก็แก้ไข เวลาอยาก อยู่ในป่าในเขามันอยากสิ่งใด เวลาไปบิณฑบาตได้สิ่งใดมา ท่านก็เอามาเจือจานกัน ได้สัมผัส ชิวหาวิญญาณ ได้รับรู้รส ได้รับรู้รสเสร็จแล้วมันก็แค่นั้นน่ะ ถ้าออกจากป่าจากเขามา
ไอ้นี่เวลาออก เพิ่งออกจากป่าจากเขามานะ เป็นพระธุดงค์นะ...ไอ้นี่มันจะไปอวดเขาน่ะ ไปอวดเขานั่นน่ะกิเลส แต่เวลาความอยากประพฤติปฏิบัติมันอยากกดดันตัวเอง อยากไม่ให้มันแสดงออก ไม่ให้มันเพ่นพ่าน ไม่ให้กิเลสมันออกมา
นี่พูดถึงว่า อำนาจวาสนาบารมีมาจากการให้ทาน ถือศีล ภาวนา ใช่หรือไม่
ใช่ มันมาจากทำทาน การรักษาศีล การภาวนา แต่มันต้องเป็นมรรคเป็นผลนะ เป็นธรรมไง อย่าให้เป็นโลก เป็นโลกมันขึ้นป้ายเลย ถ้ามันทำทานก็โฆษณาไป ๕ ปี รักษาศีลนี่มันบอกเลยนะ จะเข้าฌานสมาบัติแล้วนะ ขึ้นคัตเอาต์ใหญ่โตเลย มันทำไปทำไม ยิ่งจะภาวนานะ โอ้โฮ! อย่างนั้นมันภาวนาโชว์ออฟ ภาวนาเอากิเลส ภาวนาให้คนเห็นว่าฉันเป็นนักภาวนา
นี่พูดถึงว่า อำนาจวาสนาบารมีมันเกิดจากทาน ศีล ภาวนาใช่ไหม
แต่ต้องเป็นธรรม ไม่ใช่เป็นโลก ถ้าเป็นโลกมันก็เป็นเรื่องโลกๆ ทั้งนั้นน่ะตอนนี้เป็นโลกๆ ทำอะไรก็ขึ้นป้ายกัน ขึ้นป้ายโฆษณาชวนเชื่อกัน โฆษณาแล้วโฆษณาอีก
เขาภาวนา ภาวนาเพื่อความสงบสงัด เราไปถึงนั่งที่ไหนก็ได้ ภาวนาที่ไหนก็ได้ ไม่ต้องยุ่งเลย ไอ้นี่ภาวนาไม่ได้ ยังไม่ได้ขึ้นป้าย ยังภาวนาไม่ได้ แล้วถ้ายังไม่ได้ขึ้นป้าย ยังทำทานไม่ได้ รักษาศีลไม่ได้ ภาวนาไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น ถ้าโฆษณาชวนเชื่อไปแล้วทำได้ แล้วพอทำได้ คนมันฝักใฝ่ใช่ไหม ก็ไปนั่งอยู่ที่เสียงจ้อกแจ้กจอแจมันจะเป็นอะไรไป
นี่พูดถึงว่า อำนาจ วาสนา บารมี มาจากทาน ศีล ภาวนา ใช่หรือไม่
มันต้องทาน ศีล ภาวนาโดยธรรม ถ้าโดยทาน ศีล ภาวนาทางโลกมันก็เป็นโลก เป็นกระแสโลก ถ้าเป็นกระแสโลก โลกียปัญญา ปัญญาโลกๆ แล้วก็โฆษณาชวนเชื่อกัน ในเมื่อเป็นการทำคุณงามความดี มันจะเป็นโทษไปได้อย่างไรทำคุณงามความดีก็คุณงามความดีแบบโลกไง คุณงามความดีแบบพะรุงพะรังไงความดีแบบโลกธรรม ๘ ไง มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศไง เขาจะให้คนเขาสรรเสริญเยินยอ จะเอาโลกธรรม ๘ หรือ
นี่พูดถึงว่าอำนาจวาสนาบารมี การทำ การทำถ้าเราศึกษาแล้วเราทำเพื่อเราฉะนั้น สิ่งที่มันจะเกิดขึ้น เกิดขึ้นอย่างนั้น นี่พูดถึงว่าอำนาจวาสนาบารมีมันเป็นระดับ มันเป็นความเชื่อ มันเป็นวุฒิภาวะของจิต
แต่ในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเรื่องทาน ศีล ภาวนาเรื่องมรรค มรรค สติชอบ ปัญญาชอบ เพียรชอบ ระลึกชอบ ความชอบธรรมความชอบธรรมมันเป็นมรรค พอเป็นมรรคเป็นผลแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นมาด้วยอำนาจวาสนาบารมีมันเกิดขึ้นมาจากผู้ที่ทำด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ ทำด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ ทำด้วยหัวใจที่ผ่องแผ้ว ไม่ได้ทำเพื่อต้องการให้คนมานับหน้าถือตา ไม่ได้ทำเพื่อชื่อเสียงสักการะ ไอ้นั่นมันทำเพื่อโลก ถ้าทำเพื่ออำนาจวาสนาอย่างนี้มันถึงสะอาดบริสุทธิ์ไง นี่โดยธรรมๆ
ในสมัยพุทธกาล เวลาคนทำสิ่งใดมาที่เขาเป็นเอตทัคคะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์ เขาทำด้วยความสะอาดบริสุทธิ์เพราะมันไม่มีต้นแบบไง ทำด้วยเจตนาของตน
ในชาวพุทธเรานี่ทำเลียนแบบ ทำเลียนแบบขึ้นมาจะเอาอย่างนั้น แต่ใจคิดไปอีกอย่างหนึ่ง ใจคิดตั้งแต่เริ่มต้นไง ทำจะเอาตั้งแต่ต้น แต่ต้นแบบนั้นเขาทำด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ เขาทำด้วยหัวใจที่ผ่องแผ้ว แล้วมันได้ผลอย่างนั้น ไอ้ของเรานี่ทำอย่างนั้น ฉะนั้น เราทำด้วยหัวใจที่สะอาดบริสุทธิ์ ทำเพื่อคุณธรรม ทำเพื่อหัวใจของเรา เอาอย่างนี้ดีกว่า อย่างนี้มันถูกต้อง
ฉะนั้น อำนาจ วาสนา บารมี ทุกคนมีแล้ว ถ้ามันมีในหัวใจนะ มันเป็นประโยชน์กับใจของตนเอง ใจของตนเองถ้ามีอำนาจก็เหมือนคนสงบระงับ มันมีอำนาจเหนือกิเลสของตน มีวาสนา มีวาสนาก็คิดแต่เรื่องประโยชน์กับใจของตนอยากจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้ามีการภาวนา ภาวนาก็เข้าสู่ภาวนามยปัญญา นี่ถ้ามันเป็นจริงมันเป็นจริงอย่างนี้ ถ้ามันเป็นจริงอย่างนี้มันก็เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก เป็นในหัวใจนั้น เป็นประโยชน์กับใจดวงนั้น แล้วใจดวงนั้นก็มีความสุข มีความสงบ มีความระงับ
ไม่ใช่โลกๆ โลกๆ มันเป็นอภิญญา เรื่องอย่างนั้นมันเป็นอย่างนั้น แล้วอภิญญา ถ้าคุยกับครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมนะ ท่านเห็นเป็นเรื่องโลก เป็นเครื่องประกอบ แต่ถ้าเป็นมรรคๆ นี่แสนยาก มันเป็นธรรมเหนือโลกธรรมเหนือโลกที่มันจะเป็นสัจธรรมเป็นประโยชน์กับตน อันนี้เรื่องอำนาจวาสนา
ถาม : เรื่อง “ตำแหน่งของพุทโธ”
กราบนมัสการหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ระยะหลังนี้ลูกรู้สึกว่าขณะที่นั่งสมาธิตำแหน่งของพุทโธที่เรากำหนดไว้กลางหน้าอกนั้นมันชอบเลื่อนขึ้นข้างบนค่ะ ซึ่งมันแตกต่างจากครั้งแรกๆ ที่เวลาจิตมันรวมลงมันมักจะดิ่งลงข้างล่างลงไปลึกๆเมื่อสมัยแรกๆ ลูกกำหนดตำแหน่งพุทโธไว้ส่วนบนค่ะ แต่พอฟังเทปเห็นว่าควรกำหนดพุทโธไว้ที่กลางหน้าอกจึงถูกต้อง ลูกจึงพยายามเปลี่ยนตำแหน่งของพุทโธใหม่ค่ะ
ผลคือมันก็ผ่านเข้าไปชั้นในอีกชั้นหนึ่งได้อยู่ค่ะ ก็มีสติรู้ตัว รู้ความคิดดีอยู่ค่ะแค่สงสัยว่าทำไมมันเปลี่ยนไป ไม่รวมลงข้างล่างๆ เหมือนเมื่อก่อน แถมมันเลื่อนสูงขึ้นข้างบนแทนนะคะ เมื่อรู้ก็พยายามกำหนดพุทโธชัดๆ ไว้ที่เดิม แต่มันก็ชอบเลื่อนขึ้นไปอีกค่ะ มันเป็นเพราะจิตยังไม่สงบใช่ไหมคะ หรือจะเป็นอย่างไรก็ช่างปล่อยให้พุทโธชัดๆ ไว้ก็พอค่ะ กราบขอบพระคุณ
ตอบ : อำนาจวาสนาบารมีเกิดจากทาน ศีล ภาวนา เห็นไหม ทานคือการเสียสละของเรา ถ้าเราเสียสละของเรา เราทานด้วยการปฏิบัติบูชานั่งสมาธิภาวนา เราทานกิริยาวัตถุ กิริยาที่เราจะยืน เดิน นั่ง นอน มันเป็นกิริยา กิริยาวัตถุอันหนึ่ง แล้วเราเสียสละ เราเสียสละเพื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรานั่งสงบ เรานั่งสมาธิ เราบูชา เรายกกายและใจนี้บูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม นี่ทาน ศีล ภาวนา
ถ้าเราจะเสียสละของเราเพื่อบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะทำเพื่อความสงบระงับในหัวใจของเรา ถ้าเราตั้งใจจะทำสมาธิ เราตั้งใจจะทำสมาธิเรากำหนดพุทโธๆ ไว้ที่ปลายจมูก ไว้ที่ปลายจมูก จะข้างบน จะข้างล่าง จะกลางหัวอก ไม่ต้องไปขยับ แต่ถ้าเราจะเปลี่ยนแปลง เราขยับของเรา มันเป็นตำแหน่งไง ตำแหน่งที่ไว้ข้างบน โดยส่วนใหญ่แล้วตำแหน่งจะไว้ที่ปลายจมูก แต่ถ้าใครจะกำหนดไว้กลางหน้าอกก็ส่วนกลางหน้าอก แต่ถ้าเวลามันสงบเข้ามามันก็มีผู้รู้อยู่จะสงบตรงไหนมันก็มีผู้รู้ของมันอยู่ ถ้ามีผู้รู้ของมันอยู่ สิ่งที่สงบขึ้นมาเป็นสัมมาสมาธิ
เราทำเพื่อความสงบของใจของเรา ถ้าทำความสงบของใจของเรา ใจที่มันสงบระงับเข้ามาแล้วมันปล่อยสัญญาอารมณ์มาทั้งหมด มันเป็นหนึ่ง มันไม่พาดพิงอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น มันมีความสุขของมัน เห็นไหม
แต่ก่อนที่มันจะเข้ามา ที่มันรับรู้สิ่งต่างๆ อาการๆ ของมันทั้งนั้นน่ะ มันจะปล่อยมันจะวางเข้ามา จนถึงที่สุดเวลามันจะวางสิ่งใดทั้งหมด มันจะวางแม้แต่ลมหายใจของตน มันจะวางความรู้สึกของตน เห็นไหม เวลาเข้าถึงอัปปนาสมาธิ จิตสักแต่ว่ารู้ ไม่กำหนดความรู้สิ่งใดเลย แต่มันรู้ในตัวมันเอง
แต่ถ้าเรารู้ของเรา รู้สิ่งต่างๆ มันรับรู้ของมัน นี่โดยธาตุรู้ โดยธรรมชาติของมัน มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น แล้วเวลาเราทำสมาธิ เรากำหนดพุทโธ เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิเพื่อจะเข้าไปสู่สัจจะความจริง มันเป็นของมันโดยข้อเท็จจริงไง
แต่เวลาเราคิดๆๆ อยู่นี่ ปัญญาอบรมสมาธิมันก็เป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันเป็นขันธ์ ๕ เวลาเรากำหนดพุทโธ มันเป็นขันธ์ ๕ ทั้งนั้นน่ะ แต่เวลามันสงบระงับเข้ามามันเป็นหนึ่งเดียว ตัวมันเป็นหนึ่งของมัน
ฉะนั้น เราจะวางไว้ที่ไหนก็แล้วแต่ เราวางไว้ตรงไหนก็ได้ ไว้ตรงไหนก็ได้เพราะอะไรรู้ไหม เพราะว่าถ้าคนที่ลังเลสงสัยมันก็สงสัย เหมือนเด็ก เด็กมันไม่รับรู้อะไร มันก็พุทโธๆๆ ของมัน มันก็สงบของมันได้ คนที่เราไม่มีความสงสัยสิ่งใดเราไม่สงสัยในที่ตั้ง ไม่สงสัยใดๆ ทั้งสิ้น เรากำหนดพุทโธ มันมีธาตุรู้ ธรรมชาติที่รู้อยู่ เรากำหนดพุทโธๆๆ เราอานาปานสติ เรารับรู้ของเรา นี่รับรู้ของเราๆ
แต่นี่คนปฏิบัติบ่อยครั้งเข้าๆ มันเป็นสมาธิบ้าง ไม่เป็นสมาธิบ้าง นี่มันเริ่มเลือกแล้ว เริ่มเลือกว่าเราจะวางไว้ตรงไหนดี เราจะทำอย่างไรดี ตรงนี้มันเริ่ม มันมาจากไหนล่ะ มันมาจากเราทำแล้วไม่ได้ผล ถ้าทำแล้วไม่ได้ผล มันก็อยากจะได้ผล พออยากได้ผล มันก็มีข้อต่อรอง อย่างนั้นจะดีกว่าอย่างนี้ อย่างนี้จะดีกว่าอย่างนู้น อย่างนู้นจะดีกว่าตรงนี้ ตรงนี้จะดีกว่าตรงนั้น มันก็พูดของมันไปเรื่อยแต่ถ้ามันสงบแล้วมันก็สงบของมัน ทีนี้สงบของมัน มันก็สงบมาที่ใจ เพราะเราจะทำสัมมาสมาธิไง
นี้เราจะบอกว่า จะไว้ที่สูงหรือไว้ที่ต่ำ มันเป็นที่เราคิดของเราไปเอง แต่คำว่า“เราคิดของเราไปเอง” พอเราคิด มันเหมือนเราจุดชนวน สารตั้งต้น พอเราคิดของเราไปเองแล้ว ไอ้กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันก็สอดเข้ามาเลยล่ะ เหตุผลมันไปกว้านมาหมดเลย ไอ้นั่นจะเป็นไอ้นี่ ไอ้นี่จะเป็นไอ้นั่น ทั้งๆ ที่ไม่มีอะไรเลย ไอ้บ้าหอบฟาง เราไปคิดของเราเองไง
ฉะนั้นบอกว่า เมื่อก่อนเราทำตำแหน่งไว้ที่สูง พอตอนนี้เวลามันจะลง เขาบอกมันลงต่ำๆ แต่นี้พอทีแรกมันจะลงสูงๆ
จะสูงจะต่ำ มันจะรู้ไปไหนให้มันรู้ไป มันจะรู้อย่างไร นี่ผู้รู้ เพราะจิตของเรามันแล้วแต่ผลกระทบ บางวัน ดูสิ คนภาวนาดีมันจะดีไปเรื่อยๆ เวลาจิตมันเสื่อมมันจะเสื่อมไปตลอดเลย แล้วพอจะฟื้นฟูนี่แสนยาก ไอ้นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันจะเลื่อนขึ้นก็ให้มันขึ้น ถ้ามันจะลงก็ให้มันลง เราไม่สงสัยอะไรทั้งสิ้น จะไปไหนก็ไปเถอะเราอยู่กับพุทโธของเรานี่แหละ เดี๋ยวมันกลับมาหาเราเอง ถ้ากลับมาหาเราเองเห็นไหม
ฉะนั้น สิ่งที่ว่ามันจะเลื่อนขึ้นหรือเลื่อนลง มันจะเลื่อนไปไหน มันจะเลื่อน แล้วเมื่อก่อนมันก็เป็นอยู่อย่างนี้ แต่เราไม่ได้สนใจมันเอง พอเรามาสนใจมันเอง กิเลสมันมีข้อต่อรองแล้ว มันทำให้เราสงสัยได้ไง พอมันทำให้สงสัย จะเลื่อนขึ้นแล้วนะจะเลื่อนลงแล้วนะ มันเลยเป็นปัญหาเลย แต่ถ้ามันจะเลื่อนขึ้น เราก็พุทโธไว้เฉยๆมันก็ต่อรองเราไม่ได้ เวลามันจะเลื่อนลง เราก็พุทโธไว้เฉยๆ มันก็ต่อรองไม่ได้
มันจะเลื่อนไปไหน มันจะไม่เลื่อนไปไหน เราอยู่กับพุทโธ มันหลอกเราไม่ได้แล้ว แต่มันจะดีขึ้น เราก็ เออ! มันจะเลื่อนขึ้น เราก็ไปกับมัน จะเลื่อนลง เราก็ไปกับมัน ไอ้กรณีอย่างนี้มันจะทดสอบได้ จะขึ้นหรือจะลง จิตมันรับรู้แล้ว อารมณ์มันเกิดแล้ว ความรับรู้ว่าขึ้นหรือความรับรู้ว่าลง แล้วถ้ารู้ว่าพุทโธล่ะ เรารู้พุทโธๆๆเราก็รู้พุทโธ เราพุทโธแล้วถ้ามันเลื่อนขึ้น เรารู้ว่าเลื่อนขึ้น เลื่อนขึ้นแล้วมันลง มันจะเลื่อนลง
อันนี้เขาบอกว่า เมื่อก่อนเวลามันเลื่อนขึ้นเลื่อนลงแล้วมันเข้าไปอยู่อีกชั้นหนึ่ง
มันจะชั้น ๑ ชั้น ๒ ชั้น ๓ ชั้น ๔ ไอ้นั่นมันก็เป็นชั้น มันเป็นเปลือก ส้ม เปลือกส้ม ปอกเปลือกส้ม จะกินเนื้อส้ม ความรู้สึกมันก็ว่าเป็นชั้น ๑ ชั้น ๒ ชั้น ๓ ชั้น ๔ต่อไปมันก็จะชั้น ๕ ชั้น ๖ ชั้น ๗ ชั้น ๘ แล้วก็ชั้น ๙ ชั้น ๑๐ ชั้น ๒๐ มันจะไปเรื่อยแหละ เพราะมันคิดได้ มันจะกี่ชั้นๆ มันก็อยู่ที่เราคิด
แต่ถ้ามันเป็นสัจจะความจริง ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ ขณิกะมันจะมีกว้างขวางไปทั่ว อยู่ที่อำนาจวาสนาของคนมีอำนาจวาสนามากหรือน้อย
อุปจาระ อุปจาระของใคร อุปจาระของคนที่มีอำนาจวาสนา อุปจาระมันสะเทือน มันยิ่งใหญ่ อุปจาระของเราแค่ขอให้มันจิตสงบแล้วให้มันรู้มันเห็น นั่นก็เป็นอุปจาระของเรา
ในอุปจาระมันมีหยาบ มีกลาง มีละเอียด ในขณิกสมาธิก็มีหยาบ มีกลาง มีละเอียด หยาบๆ ก็คนบารมีระดับนี้ ระดับคนชั้นกลางก็ระดับนี้ ระดับคนชั้นยอด
แม้แต่ขณิกะมันก็ยังมีหยาบ มีกลาง มีละเอียด ในอุปจาระก็มีหยาบ มีกลางมีละเอียด ในอัปปนาก็เหมือนกัน มีหยาบ มีกลาง ละเอียด ละเอียดสักแต่ว่าเลยในอัปปนานี่ชัดเจนมากเลย มันสักแต่ว่าหมด เพียงแต่ว่ามันจะอยู่ได้มากน้อยได้แค่ไหน จะอยู่ได้ ๓ ชั่วโมง ๔ ชั่วโมง ๖ ชั่วโมง ๕ ชั่วโมง แล้วแต่กี่ชั่วโมง แล้วพอมันคลายตัวออกมามันก็เป็นอุปจาระ
นี่พูดถึงว่า เพราะเราจะตัดประเด็นคำว่า “มันผ่านเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง” มันอีกชั้นหนึ่งหรือจะชั้นนอกชั้นในอะไร จิตก็คือจิต สมาธิก็คือสมาธิ ไม่มีชั้นนอกชั้นใน ถ้ามีชั้นนอกชั้นใน เวลากิเลส กิเลสภายนอก กิเลสภายใน กิเลสภายนอกก็สัญญาอารมณ์ภายนอก กิเลสภายใน ข้อมูลที่มันฟูออกมาจากใจ
นี่ก็เหมือนกัน เวลาจะมีนอกมีในมันเรื่องของปัญญา ไอ้นี่ผ่านชั้นนอกชั้นในวางไว้ เราไม่เอาอันนี้มาเป็นอารมณ์ไง
ฉะนั้น เขาถามว่า “สิ่งที่มันเป็นชั้นนอกชั้นใน หรือคิดดูว่ามันเป็นแค่สงสัยทำไมมันเปลี่ยนแปลงไปรวมลงข้างล่าง แต่ก่อนมันสูงขึ้นข้างบน”
มันสูง มันเป็นความรู้สึก เพราะจริงๆ แล้วมันอยู่ที่ภวาสวะ อยู่ที่ภพ อยู่ที่ฐานของจิต จิตมันจะรับรู้ขึ้นข้างบน จิตมันจะรับรู้ลงข้างล่าง จิตมันจะรับรู้ไปซ้าย รับรู้ไปขวา ก็จิตรับรู้ อาการที่มันจะไปสูงไปต่ำ ไปซ้ายไปขวา อาการทั้งนั้น ถ้าอาการทั้งนั้น ถ้าเราไปหยิบเอาอาการใดเข้ามาเป็นอารมณ์ มันจะมีข้อต่อรองไปตลอด
วางหมดเลย เราจะวางอารมณ์ทั้งหมดให้เป็นหนึ่ง ถ้าเป็นหนึ่งก็เป็นสัมมาสมาธิ ก็ไปพักของเรา พักของเราเสร็จแล้วเราก็ออกไปใช้ปัญญาของเรา ออกมาฝึกหัดใช้ปัญญา ฝึกหัดใช้ปัญญาที่เขียนมาถามนี่ แล้วเรามาไตร่ตรองปั๊บมันจะเข้าใจ ฝึกหัดใช้ปัญญา พอเข้าใจแล้วคำถามมันจะไม่มี คำถามไม่มี เราก็พุทโธของเราต่อไป แล้วพอจิตสงบแล้วเราก็ฝึกหัดใช้ปัญญา
ปัญญาที่มันเกิดขึ้น สิ่งสงสัยสิ่งใดๆ เอามาค้นคว้า เพราะค้นคว้าด้วยปัญญาถ้าปัญญามันรอบแล้วมันก็วาง ถ้าปัญญามันรอบถึงความคิดของเรามันก็วาง พอวางแล้ว อืม! ไม่ต้องเขียนไปถามด้วย รู้เองก็ได้ แต่ถ้ามันไม่รู้นะ มันสงสัย มันจุดประเด็นแล้วมันก็สงสัยต่อเนื่องไปเรื่อยๆ แต่ถ้ามันใช้ปัญญา มันรอบรู้ มันวางๆพอวางก็จบ เห็นไหม มันก็แค่สงสัย
ฉะนั้น เขาบอกว่า พอทำๆ ไปแล้ว เพราะสิ่งที่ทำแล้วที่มันยังไม่เข้าใจเรื่องพุทโธชัดๆ พุทโธชัดๆ เพราะจิตมันยังไม่สงบใช่หรือไม่
เพราะจิตมันยังไม่สงบ แล้วมันก็มีเชื้อไฟคอยหลอกคอยล่อไง เราใช้สติปัญญาของเรา เราใช้สติปัญญาของเรานะ เราค้นคว้าของเรา เห็นไหม ตำแหน่งของพุทโธ ตำแหน่งของพุทโธไว้ที่ไหนแล้วแต่ความสะดวก เพราะกรณีอย่างนี้ถ้าเรายึดมั่นตายตัวนะ ร่างกายเราอาการ ๓๒ สมบูรณ์ เราทำอย่างไร ยืน เดิน นั่งนอนได้หมด แต่คนที่พิการ คนพิการ ถ้าพูดถึงถ้าอย่างนั้นแล้วคนพิการเขาทำแบบเราไม่ได้ ถ้าเขาทำแบบเราไม่ได้ แสดงว่าเขาไม่มีโอกาสภาวนาใช่ไหม
คนพิการหรือคนเขามีโอกาสภาวนาทั้งนั้น เพราะการภาวนานี้ภาวนาเพื่อจิตของเราทั้งนั้น คนพิการเขาก็มีหัวใจของเขา เขาก็ภาวนาของเขา ถ้าคนพิการทำอย่างไรก็ได้ไง คนพิการที่ว่าเขานอนอยู่ เขานั่งไม่ได้ เขาเดินไม่ได้ แล้วทำอย่างไรล่ะ เขานอนอยู่ ถ้าเขานอนอยู่ เขาก็กำหนดพุทโธของเขา ภาวนาของเขาถ้าเขาภาวนาของเขา ถ้ามันจิตสงบได้ มันเข้าได้ มันก็เข้าไปสู่ใจของเขา นี่เข้าไปสู่ใจของเขา
ถ้าจิตที่ว่ามันจะสูงจะต่ำ จิตมันยังไม่สงบของมัน มันยังไม่เข้าใจของมัน มันก็เป็นแบบนี้ ถ้ามันเข้าใจแล้วมันก็วางๆ พอวางแล้วเราก็พุทโธต่อเนื่องไป ไม่ใช่วางแล้วมันจบแล้ว ไม่ใช่ เพราะพุทโธมันเหมือนข้าว เราจะกินข้าวตลอดไปทั้งชีวิต สิ่งมีชีวิตต้องมีอาหารของมัน
นี่ก็เหมือนกัน พุทโธใช้ได้ตลอดไป ไม่ใช่ว่าพอจิตสงบแล้วมันดีขึ้นมาแล้วเราเคยพุทโธแล้ว เราว่าพุทโธมันต่ำต้อย พุทโธมันหยาบอยู่ คนนั้นคิดผิดทั้งนั้นน่ะ เพราะว่าคนจะสูงส่งอยู่ส่วนไหนของสังคม เขาก็ต้องกินอาหารทั้งนั้นน่ะ คนจะทุกข์จนเข็ญใจต่ำทรามขนาดไหน เขาก็ต้องมีอาหารของเขาทั้งนั้นน่ะ ใจของเราเราก็ต้องมีพุทโธเป็นอาหาร พุทโธไปหล่อเลี้ยงใจตลอดไป พุทโธๆๆ ใช้ต่อเนื่องไป เพียงแต่ว่าเวลาพุทโธ คนขวนขวายหาอาหารมานี่มันยาก แต่ถ้านั่งกินน่ะมันง่าย
นี่ก็เหมือนกัน อยากจะสงบ อยากจะดี แต่ขี้เกียจพุทโธ อยากจะดีไปหมด แต่ขี้เกียจทำ คนเรามันจะดี มันจะเป็นประโยชน์ อยู่ที่การกระทำ เราก็พุทโธของเราไป งานอย่างอื่น เรายังทำได้ เวลามันทุกข์มันยากยังทุกข์ยากได้ ทำไมจะพุทโธไม่ได้ ถ้าพุทโธของเรา พุทโธชัดๆ พุทโธชัดๆ มันจะดีขึ้นมา
ฉะนั้น คำถาม คำถามที่บอกว่า แต่ก่อนมันลงต่ำใช่ไหม มันลงล่าง เดี๋ยวนี้มันขึ้นบน
มันจะลงล่างหรือมันจะขึ้นบน มันเป็นการรับรู้ เป็นอาการ ถ้าอาการทั้งหมดที่เราจะยึดมาเป็นอารมณ์ทั้งหมด มันจะมีเครื่องต่อรองเราตลอดไปนะ อาการอย่างไรที่มันจะเกิดขึ้น อาการของใจๆ อาการของใจไม่ใช่ใจ อาการนี้คือเงา ถ้าคนหยาบๆ อาการนั้นคืออารมณ์ สิ่งที่เราทุกข์เรายาก สัญญาอารมณ์ อาการของใจทั้งนั้นน่ะ ความคิดนั่นอาการของใจทั้งหมด แต่คนก็ต้องคิด เราไม่คิดได้ไหมเราไม่คิด เราจะสื่อสารกับคนอื่นอย่างไร
ดูสิ วิชาชีพๆ จะเรียนสิ่งใดมา เวลาเขาคิดงานๆ ก็ความคิดเขาทั้งนั้นน่ะ มันเป็นอาการของใจทั้งนั้นน่ะ เพราะใจมันทำงาน เขาคิดงานเพื่อเป็นการทำงาน พอคิดเสร็จแล้ว ถ้าสั่งให้ทำงาน ถ้ากรรมกรแบกหามก็ต้องใช้แรงกายของเขา เขาใช้ให้เป็นชิ้นงานให้มันจบสิ้นไป นี่ไง อาการของมันๆ ไง
ฉะนั้น เวลาภาวนาถ้ามันมีอาการอย่างใด อาการของใจๆ เราก็รับรู้ไป รับรู้อาการของมัน มันต้องมีการเปลี่ยนแปลง การภาวนา เห็นไหม แต่เดิมมืดบอดความคิดก็ไม่รู้จัก ความทุกข์สิ่งใดก็ไม่รู้จัก แต่บ่นว่าทุกข์ ทุกคนบ่นว่าทุกข์ว่ายากแต่ไม่รู้ว่าอะไรมันทุกข์อะไรมันยาก แต่บ่นว่าทุกข์ว่ายาก พอศึกษาธรรมะ ศึกษาธรรมะก็แบ่งแยกใช่ไหม อารมณ์อย่างนี้เป็นทุกข์ ที่เราไปยึดมั่นถือมั่นอยู่นี่เป็นทุกข์ ถ้าพิจารณาแล้วมันปล่อยวางได้มันจะเป็นธรรมๆ มันก็เป็นขั้นของปริยัติเป็นขั้นของการศึกษา ขนาดศึกษามันยังเข้าใจได้ เห็นไหม เมื่อก่อนทุกข์ทั้งนั้นไม่รู้ว่าทุกข์ แต่พอศึกษาธรรมะ อ๋อ! ทุกข์มันเป็นแบบนี้ แต่ถ้าเราศึกษาแล้วถ้ามันวางได้ อ๋อ! นี่พระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้
นี่มันเป็นปริยัติไง มันเป็นการศึกษามาแล้วเข้าใจ แล้วเวลาปฏิบัติเข้าไป พอพุทโธเข้าไป มันยิ่งละเอียดเข้าไป มันก็เกิดเดี๋ยวไปสูง เดี๋ยวไปต่ำอยู่นี่ เดี๋ยวไปซ้าย เดี๋ยวไปขวา มันไปทั้งนั้นน่ะ แล้วมันมีนอกมีในอีกต่างหาก มันลึกเข้าไปเป็นชั้นๆ เข้าไป
ถ้าเป็นชั้นๆ เข้าไป ถ้าบอกว่าเป็นอย่างนี้ถูกต้อง มันก็จะแบ่งเป็นเหมือนหอมใหญ่เลย มันปอกเป็นชั้นๆ เข้าไปเลย แต่ถ้าเป็นสมาธิ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิอัปปนาสมาธิ แต่ถ้ามันพิจารณาของเรามันละเอียดเข้ามาแล้วเรารู้ว่าละเอียด ถ้าละเอียดแล้วมันปล่อยวางแล้วมันสงบระงับ แล้วเราก็ทำของเราให้มันมั่นคงขึ้นแล้วลองปฏิบัติของเราต่อเนื่องไป ถ้ามันต่อเนื่องไป สิ่งที่มันสงสัยก็คือสงสัย แล้วเวลาปฏิบัติไปนะ ถ้าปฏิบัติซ้ำรอยอยู่แบบนี้ แล้วถ้ามันปล่อยวางได้ถึงจะเข้าใจถ้ามันไม่ซ้ำรอยแบบนี้ มันไปเกิดอาการใหม่ พอไปเกิดอาการใหม่มันก็ใหม่อีกแล้ว แต่ความจริงมันอันเดิมนี่แหละ ถ้ามันสูงมันก็คืออาการไปทางสูง ไปทางต่ำไปทางซ้าย ไปทางขวา อาการรับรู้ต่างๆ มันก็เป็นอาการนั่นแหละ แต่มันเปลี่ยนมุมมองใหม่ๆ มาเรื่อยเลย เปลี่ยนมุมมองใหม่ๆ มาเรื่อยแล้วเราก็รับรู้แต่มุมมองอยู่อย่างนี้ แล้วก็จะเอาอย่างไรดี เอาอย่างไรดี
พุทโธชัดๆ พุทโธชัดๆ พุทโธชัดๆ ไป มันจะวางไปเรื่อยๆ แล้วจิตสงบมันจะรู้ว่าสงบ ถ้าสงบเข้ามาแล้ว เราก็เป็นการปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเป็นการปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ แต่ถ้าเราผิด เป็นความทุกข์ประสบมาตลอด ถ้าเป็นความถูกต้องดีงามมันจะเป็นสมบัติของเราแล้วถ้าเป็นสมบัติของเรา มันจะเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก เกิดขึ้นจากความจริงในใจของเรา ปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เราจะมีสติมีปัญญา มีคุณธรรมในใจของเรา ถ้ามีคุณธรรมในใจของเรา มันจะหายความสงสัยทั้งหมดถ้าปัญญามันเกิดขึ้น มันเข้าใจแล้วก็จบ เอวัง